โตไปไม่วอกแวก! ฝึกสมาธิให้ลูกด้วยทักษะ EF ในชีวิตประจำวัน
- ASTA Mammy & Kids
- 4 ก.ค.
- ยาว 1 นาที

ลูกวอกแวกง่าย เล่นไม่ได้นาน ทำการบ้านแป๊บเดียวก็เบื่อ หรือแม้แต่ฟังนิทานก็ไม่จบสักเรื่อง... พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าลูกซน หรือไม่มีสมาธิเสมอไป แต่บ่อยครั้งเป็นเพราะยังไม่ได้ถูกฝึก "ทักษะ EF" อย่างเหมาะสมต่างหาก
ในบทความนี้ พี่แอสต้าจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปดูวิธีฝึกสมาธิให้ลูกด้วยทักษะ EF ที่ใข้ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องใช้เวลานานหรือพึ่งอุปกรณ์แพงๆ ตามไปดูพร้อมกันเลย
ทำไมทักษะ EF ถึงสำคัญต่อสมาธิของลูก?

สมาธิ คือพื้นฐานของทุกการเรียนรู้ และ EF คือกลไกที่ควบคุมสมาธินั้น หากลูกมี EF แข็งแรง เขาจะสามารถ…
-จดจ่อกับงานที่ทำจนเสร็จ
-ทำงานหลายขั้นตอนโดยไม่หลุดโฟกัส
-วางแผนลำดับงานได้เอง
-ยับยั้งความอยากเล่นหรือความหงุดหงิดได้
-แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่ตื่นตระหนก
เด็กที่ขาดสมาธิ จะเป็นอย่างไร?

เปลี่ยนกิจกรรมบ่อย เล่นอย่างหนึ่งไม่ถึง 5 นาที
โต้ตอบด้วยอารมณ์รุนแรงเมื่อผิดหวัง
ลืมของบ่อย ขาดวินัย ไม่สามารถเรียนหรือทำการบ้านให้จบได้
ขาดความยืดหยุ่น ควบคุมตนเองไม่ได้
EF ไม่ได้มาพร้อมกับการเกิด... แต่พ่อแม่ "ฝึกให้ลูกได้!"
ข่าวดีคือ EF เป็นทักษะที่ “ฝึกได้” และ “ควรฝึกตั้งแต่เล็ก” โดยเฉพาะในช่วงวัย 3-12 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สมองส่วนหน้าพัฒนาอย่างรวดเร็วพ่อแม่จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างรากฐาน EF ให้ลูก ผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวันแบบไม่ต้องสอนแบบเป็นทางการเลย
วิธีฝึกสมาธิให้ลูกผ่านการพัฒนา "ทักษะ EF" ในชีวิตประจำวัน
ฝึกให้ลูกสังเกต "ความคิดของตัวเอง"

เมื่อเห็นว่าลูกเริ่มวอกแวก เช่น ขณะทำการบ้านหรือฟังนิทานอย่าเพิ่งดุ แต่ชวนให้เขารู้ตัวว่า"เมื่อกี้หนูเผลอคิดเรื่องอะไรอยู่เหรอ?" หรือ ใช้คำถามแบบชวนคิด เช่น"ตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?" หรือ
"ลูกยังอยู่กับการบ้านตรงหน้าไหม?"การฝึกให้รู้เท่าทันตนเอง คือพื้นฐานของสมาธิอย่างมีสติ
และเป็นหัวใจของ EF
ชวนลูกเล่นเกมง่ายๆ ที่ช่วยฝึกสมาธิและบังคับให้จดจ่อ

กิจกรรมอย่างเกมง่ายๆ ก็ช่วยให้ลูกฝึกการจดจ่อ ฝึกสมองลูกให้อยู่กับปัจจุบันและห้ามหลุดโฟกัส
เช่น เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมตัวต่อ เกมลูกเต๋าสะกดคำ จะช่วยฝึกการวางแผน การจัดลำดับ และความอดทน อีกทั้งของเล่นเสริมพัฒนาการที่มีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยให้สมองลูกทำงานอย่างมีทิศทางมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพลิดเพลินแต่ฝึกทักษะ EF ได้จริง
อ่านนิทานช้าๆ แล้วชวนพูดคุย

อย่ารีบอ่านให้จบ แต่ให้ลูกมีเวลาฟังและจินตนาการระหว่างเรื่อง ลองหยุดถามลูก เช่น "ต่อไปจะเกิดอะไร?" หรือ "ถ้าเป็นหนู หนูจะทำยังไง?" สิ่งนี้จะฝึกให้ลูก อยู่กับเรื่องราว ไม่ปล่อยใจลอย และต้องใช้สมองส่วนหน้าในการเชื่อมโยงข้อมูล กิจกรรมนี้ยังช่วยฝึกทักษะ EF ด้านความจำเพื่อนำไปใช้งาน
การจดจ่อใสใจ เเละการยืดหยุ่นทางความคิด
ลดสื่อหน้าจอ เพิ่มปฏิสัมพันธ์จริง

แม้การใช้หน้าจอจะช่วยดึงดูดความสนใจลูกได้ แต่ไม่ได้ช่วยให้สมองลูกทำงาน หรือได้ฝึกสมาธิ เพราะการดูคลิปหรือการ์ตูนจะเป็นการรับข้อมูลแบบ Passive ไม่ได้ใช้ความคิด วิเคราะห์หรือควบคุมตัวเอง
จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการฝึกสมาธิ

เด็กไม่สามารถฝึกสมาธิได้ดี ถ้ารอบตัวเต็มไปด้วยเสียงทีวีเสียงมือถือ หรือของเล่นกองโต ลองมีมุมสมาธิสำหรับทำกิจกรรมเงียบๆ เช่น มุมอ่านหนังสือ มุมระบายสีลดสิ่งรบกวนให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่ลูกต้องใช้สมอง การจัดสภาพแวดล้อมคือการช่วยให้สมองลูกไม่ต้องสู้กับสิ่งรบกวน และใช้พัฒนาทักษะ EF ได้เต็มประสิทธิภาพ
พ่อแม่ควรเริ่มยังไง?
• สังเกตพฤติกรรมลูก – ลูกวอกแวกเวลาไหน? ทำกิจกรรมอะไรที่จดจ่อได้ดี?
• เลือกกิจกรรม EF- Friendly – เกม วาดภาพ ต่อบล็อก นิทาน ฯลฯ
• ร่วมเล่นกับลูกบ่อยขึ้น – เพราะ EF ไม่ได้ฝึกจากการสั่ง แต่ฝึกจากการมีปฏิสัมพันธ์
• สม่ำเสมอมากกว่าปริมาณ – วันละ 10 นาทีต่อเนื่อง ดีกว่านานๆ ครั้งแบบหักโหม
การฝึกทักษะ EF ให้ลูกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องใช้เวลานานขอแค่พ่อแม่มีความสม่ำเสมอและเข้าใจหลักการ การเล่น การสอน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งล้วนเป็นโอกาสทองในการพัฒนาสมาธิและทักษะ EF ของลูก เพราะลูกไม่ได้เรียนรู้จากคำสอนอย่างเดียว แต่เรียนรู้จากการดูว่าเราทำอะไรในทุกๆวันด้วย
"สมาธิ" ไม่ได้ฝึกจากการสั่งให้ตั้งใจฟังแต่ต้องฝึกผ่านประสบการณ์จริง และหนึ่งในเครื่องมือที่ดีที่สุดในการพัฒนาสมาธิ คือ ทักษะ EF ทุกกิจกรรมเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน สามารถกลายเป็นสนามฝึกสมาธิได้ เด็กที่มีทักษะ EF ที่แข็งแรง จะมีสมาธิที่ยั่งยืนกว่า พร้อมเรียนรู้ มีวินัย และจัดการชีวิตได้ดีกว่าในระยะยาว การเริ่มฝึกทักษะ EF ไม่ต้องรอถึงวัยเรียน หากพ่อแม่เข้าใจหลักการของทักษะ EF และฝึกอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนสมาธิของลูกให้ “โตไปไม่วอกแวก” นั่นเอง
มากกว่า ‘ของเล่น’ คือเห็นคุณได้เล่นกับลูก
วันนี้คุณเล่นกับลูกแล้วหรือยัง?
-A.smartbrain-
Comments