
เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนในปัจจุบันอาจจะกำลังสงสัยว่าลูกของเราเป็นโรคซึมเศร้าอยู่หรือเปล่านะ เพราะแน่นอนว่าสังคมในปัจจุบันต้องมีการปรับตัวในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สังคม หรือปัจจัยต่าง ๆ บางครั้งลูกๆ อาจพบเจอความเครียดจนกระทั่งเกิดความเครียดสะสม มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูด ก็เป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่กังวลใจไม่น้อยเลยใช่ไหมละคะ หรือแม้แต่อารมณ์งอแง เอาแต่ใจ รวมถึงการแสดงออกที่ก้าวร้าว คุณพ่อคุณแม่อย่างเราก็กังวลว่าจะส่งผลให้ลูกน้อยเป็นโรคซึมเศร้าในอนาคตได้หรือเปล่า เพราะอัตราการเกิดโรคซึมเศร้าในปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นมากๆ เช่นเดียวกัน
แต่หากลูกของเราเป็นเด็กที่สามารถจัดการอารมณ์และรับมือกับความผิดหวังได้ จะทำให้เขาสามารถจัดการและเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ได้ในอนาคต รวมถึงคุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่ต้องคอยกังวล เพียงดูแลเมื่อลูกต้องการคำแนะนำหรือต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาเท่านั้นค่ะ AsmartBrain จึงจะมาแนะนำวิธีสอนลูกน้อยให้จัดการอารมณ์เป็น เพื่อไม่ให้ลูกน้อยของเราต้องเจอกับโรคซึมเศร้าค่ะ
ปลูกฝังลูกให้รู้จักอารมณ์
การสอนให้ลูกรู้จักและเข้าใจอารมณ์ต่าง ๆ ของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ด้านบวกหรือด้านลบ การรับรู้และเข้าใจจะทำให้ลูกน้อยของเราจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีมากขึ้น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้เขารู้ว่าอารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนสามารถมีอารมณ์โมโห โกรธ ผิดหวังหรือเสียใจได้ แต่เราจำเป็นต้องรู้ตัวและหาเหตุผลว่าอารมณ์โกรธของเรานั้นเกิดจากอะไร เชื่อว่าถ้าเราพูดคุยอย่างใจเย็น จะทำให้เขาสงบนิ่งมากขึ้น แล้วทำให้ลูกของเรารู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจเขามากขึ้นอีกด้วยค่ะ
ให้ลูกออกไปใช้ชีวิตในสังคมใหม่ ๆ
การส่งเสริมหรือหากิจกรรมให้ลูกของเราได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตข้างนอก อย่างการไปออกกำลังกาย วิ่งเล่นกลางแจ้ง หรือการออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในที่สาธารณะ พบเจอคนมากมาย ทั้งเพื่อนรุ่นเดียวกันและต่างวัย จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงให้เด็กรับรู้ได้ว่า นอกจากตัวเขาเองก็มีโลกรอบข้างและคนอื่นมากมาย ซึ่งจะทำให้เขายึดติดกับตัวเองน้อยลง และการจัดการอารมณ์ก็จะดีขึ้นด้วยนะคะ และยังช่วยเพิ่มพัฒนาการด้านการปฏิสัมพันธ์และการเข้าสังคมให้กับลูกน้อยของเรา ให้เขาได้รู้จักการเล่นกับผู้อื่น ไม่กลัวคน รวมถึงการให้ลูกได้สัมผัสธรรมชาติจะทำให้เขาสงบนิ่ง เป็นคนที่ใจเย็นมากขึ้นอีกด้วยค่ะ
ไม่ควรห้ามเมื่อลูกแสดงอารมณ์
การแสดงออกทางอารมณ์อย่างการร้องไห้ เป็นเรื่องปกติเมื่อเราเจอความเสียใจหรือความผิดหวังค่ะ เพราะฉะนั้นลูกของเราก็ไม่ต่างกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเข้าไปสั่งหรือหยุดว่า “ห้ามร้องไห้นะ , ร้องทำไม เรื่องแค่นี้เอง “ เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำเลยค่ะ ให้ลูกของเราได้แสดงออกร้องไห้เสียใจได้ สักพักเขาจะหยุดร้องเอง หรือเราอาจจะค่อย ๆ เข้าไปพูดคุยกับเขา ช่วยเขาหาวิธีจัดการอารมณ์อย่างใจเย็นค่ะ ชวนเขาเล่นอย่างอื่นเพื่อเบี่ยงเบน เป็นต้นค่ะ เพราะการที่เขาร้องไห้ก็เหมือนการระบายอารมณ์ความรู้สึกออกมาทางหนึ่ง เด็กที่เศร้าแล้วเก็บเอาไว้ ไม่ร้องไห้ ไม่มีน้ำตา บางครั้งอาจจะน่าเป็นห่วง หากอารมณ์ลบ ๆ ตรงนั้นไม่มีการจัดการอย่างเหมาะสม อาจจะส่งผลเสียในอนาคตมากกว่าเดิม หรือเกิดเป็นโรคซึมเศร้าขึ้นได้เลยค่ะ
ไม่ตามใจลูกจนเกินไป
การที่พ่อแม่ตามใจลูกหรือคอยช่วยลูกในทุก ๆ เรื่อง อย่างไม่มีขอบเขต จะทำให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจค่ะ เพราะด้วยความเคยชินที่มีคนช่วยหรือคนเอาใจตลอด ทำให้ทุกอย่างราบรื่นไปหมด เมื่อวันหนึงที่เขาต้องเผชิญสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองในอนาคต จะทำให้เขาเป็นเด็กที่ขี้กลัว ไม่มีความมั่นใจ หรือไม่สามารถรับมือกับความผิดหวังได้ รวมถึงเขาจะโตมาโดยที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง คิดถึงคนอื่นน้อยลง ไม่สามารถควบคุมการกระทำ ห้ามใจตัวเองไม่ได้ หรือที่เราเรียกกันว่าเอาแต่ใจตัวเองนั้นเองค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตามใจลูกน้อยจนเกินไป เพียงแต่ช่วยเหลือ ประคับประคองอยู่ห่าง ๆ เพื่อให้เขาโตมาเป็นเด็กที่กล้าคิด รู้จักความผิดหวัง และเข้าใจคนอื่น ๆ มากขึ้นค่ะ

หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกต้องเจอกับโรคซึมเศร้า ก็อย่าลืมช่วยลูกน้อยของเราโดยการปลูกฝังลูกน้อยตั้งแต่ยังเล็ก ให้เขารู้จักและสามารถจัดการอารมณ์ของตัวเขาเองและรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้ เขาจะได้เรียนรู้และโตมาเป็นเด็กที่มีสุขภาพจิตแข็งแรง อารมณ์ดีค่ะ และยังช่วยลดปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคซึมเศร้าได้อีกด้วยนะคะ อย่างไรก็ตามฝากติดตามบทความอื่นๆ ของทาง AsmartBrian เพราะเราอยากเป็นเพื่อนช่วยเลี้ยงลูกให้คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านเป็นเด็กที่มีคุณภาพค่ะ
มากกว่า 'ของเล่น' คือเห็นคุณได้เล่นกับลูกวันนี้คุณเล่นกับลูกแล้วหรือยัง ?
-AsmartBrain -
Comments