ใกล้เข้ามาแล้วค่ะกับฤดูร้อนในประเทศไทย และอากาศบ้านเราในช่วงหน้าร้อนนี้จะอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ จากกรมควบคุมโรคมีการอ้างอิงว่าฤดูร้อนในประเทศไทยจะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม และอากาศที่ร้อนมากๆ แบบนี้แหละที่เป็นตัวนำเชื้อโรคชั้นดีเลยค่ะ เพราะเหมาะกับการเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ที่พร้อมจะมาเยือนลูกน้อยของเราตลอดเวลา บทความนี้ AsmartBrain จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปดูว่ามีโรคหน้าร้อนอะไรบ้างที่อาจมาเยือนลูกน้อยของเรา พร้อมทั้งแนะนำวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ลูกของเราป่วยเป็นโรคที่มากับหน้าร้อนต่างๆ กันค่ะ
โรคอุจจาระร่วง ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ
ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เชื้อโรคเติบโตเร็ว ทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ทำให้อาหารอาจจะเสียได้ง่าย รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด หรือมีเชื้อปนเปื้อนนั้น เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้และส่วนใหญ่มักเกิดในเด็กเล็ก โดยจะมีอาการปวดท้องเกร็ง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาเจียน มีไข้ หรืออาจมีการถ่ายเป็นมูกเลือด หากมีอาการแบบนี้ถือว่ามีอาการรุนแรงค่ะ ควรรีบมาพบแพทย์ แต่หากเป็นเพียงอาการเบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่สามารถดูแล โดยให้ลูกน้อยดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสีย และให้ทานอาหารอ่อนๆ ที่สามารถย่อยได้ง่าย
การป้องกัน:
รักษาความสะอาดของมือ อาหาร และน้ำดื่ม
ปรุงอาหารให้สุกใหม่ หลีกเลี่ยงอาหารดิบ
เก็บอาหารให้มิดชิด ป้องกันแมลงวัน
ไม่ให้เด็กดื่มน้ำจากแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
โรคผดร้อน
หน้าร้อนแบบนี้ “เหงื่อ” นี่แหละค่ะตัวแปรสำคัญ เพราะร่างกายจะมีการขับเหงื่อออกมาเพื่อช่วยระบายความร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง และโรคที่พบมากในเด็กคือ “โรคผดร้อน” นั่นเองค่ะ ซึ่งเกิดจากการอุดตันของต่อมเหงื่อ จะมีอาการเป็นผื่นแดงคัน มีตุ่มเม็ดเล็กๆ ขึ้นตามร่างกาย มักพบที่ใบหน้า หน้าอก ลำตัว ซึ่งโรคนี้สามารถหายได้เองภายใน 2-3 วัน โดยดูแลบริเวณที่เกิดผดนั้นให้เย็นและแห้งอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเกา เพราะอาจทำให้ผื่นลุกลาม หากเกิดอาการคันให้ประคบเย็นด้วยผ้าชุบน้ำเย็น แต่หากผดร้อนและมีอาการอื่นๆ ที่ปรากฏมีความรุนแรงขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ และแพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยารักษาตามอาการค่ะ
การป้องกัน
สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่หนา ร้อน อับชื้น
อาบน้ำให้ลูกน้อยบ่อยๆ และเช็ดตัวให้แห้งอยู่เสมอ จะช่วยให้เด็กสบายตัวขึ้น
ทาแป้งเด็กหรือโลชั่นที่ช่วยลดความร้อนค่ะ
โรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรก
เรียกได้ว่าเป็นโรคที่น่ากลัวอันดับต้นๆ ในช่วงหน้าร้อนนี้เลยค่ะ เพราะจากสถิติระหว่างปี 2558-2564 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ เฉลี่ยในแต่ละปี ถึง 34 ราย เนื่องจากการที่อุณหภูมิรอบๆ ตัวสูงขึ้น ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นตามไปด้วย บางครั้งอาจสูงจนถึง 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้ร่างกายลูกของเราอาจเกิดภาวะการปรับตัวไม่ทัน ส่งผลให้เกิดโรคลมแดดหรือโรคฮีทสโตรกได้นั่นเอง หากลูกมีอาการ สามารถดูแลเบื้องต้นโดยการพาลูกไปที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำเย็น หรือพัดลมให้ร่างกายเย็นลงและให้ดื่มน้ำเย็น
การป้องกัน :
หลีกเลี่ยงการให้ลูกน้อยอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน ให้อยู่บริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
สวมหมวก ใส่เสื้อผ้าสีอ่อน หรือเนื้อผ้าที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ทาครีมกันแดด SPF 30 ขึ้นไป
ที่สำคัญคือการดื่มน้ำให้เพียงพอ จะทำให้ร่างกายไม่ขาดน้ำค่ะ
โรคไข้หวัดใหญ่
จริงๆ แล้วโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้ตลอดปีและเป็นโรคที่ติดต่อง่ายอีกโรคหนึ่ง เพราะมีการติดต่อจากระบบทางเดินหายใจที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัส ช่วงอายุที่มักมีอาการรุนแรงมากกว่าวัยอื่น ๆ คือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า เช่น อาการปอดบวม แก้วหูอักเสบ จะมีอาการ ไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส รวมถึงมีอาการ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดเบ้าตา ถ้าหากรุนแรงอาจเกิดภาวะปอดอักเสบแทรกซ้อนได้ โรคนี้สามารถดูแลเองที่บ้านหรือรักษาตามอาการได้ค่ะ เช่น เช็ดตัว กินยาลดไข้ ดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แต่หากลูกของเรามีอาการรุนแรงแนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
การป้องกัน :
สอนให้ลูกน้อยขยันล้างมือบ่อยๆ ทุกครั้งหลังจับสิ่งของหรือก่อนทานอาหาร
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคติดต่อ
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีเลยค่ะ
แม้ว่าโรคจะน่ากลัวแค่ไหน แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ รู้แบบนี้แล้วเราสามารถป้องกันเพื่อลูกน้อยของเราได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลให้ถูกสุขอนามัย ดื่มน้ำและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงการพักผ่อนที่เพียงพอค่ะ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยปกป้องลูกน้อยของเราให้โรคในช่วงหน้าร้อนไม่มาเยือนได้ค่ะ และยังช่วยป้องกันไม่ให้ลูกของเราป่วยบ่อยได้อีกด้วย และยิ่งเมื่อลูกถึงวัยที่เข้าโรงเรียนด้วยแล้วมีโอกาสที่ลูกของเราจะป่วยบ่อยมากขึ้นค่ะ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตลูกน้อยของเราให้ดีนะคะ และในบทความถัดไปจะเป็นความรู้ด้านไหนก็สามารถติดตาม AmsartBrian ได้เลยค่ะ
มากกว่า 'ของเล่น' คือเห็นคุณได้เล่นกับลูก
วันนี้คุณเล่นกับลูกแล้วหรือยัง?
- AsmartBrain -
