ทุกวันนี้ลูกๆ ของเรามีพัฒนาการกันอย่างรวดเร็วมากๆ จนบางครั้งเราก็อาจจะตามไม่ทันใช่ไหมละคะ และพัฒนาการแต่ละช่วงวัยก็มีความแตกต่างกัน พ่อแม่อย่างเราที่อยากจะเข้าใจลูกเป็นเพื่อนสนิทให้กับลูก และอยากให้ลูกเห็นเราเป็นเพื่อนที่คอยให้คำปรึกษา จะทำอย่างไรดี เราเข้าใจดีค่ะ การเกิดคนละยุคสมัยทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัย ผสมกับความเป็นห่วงเป็นใย ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจจะทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดได้ ในบทความนี้ AsmartBrain จะมาแนะนำวิธีทำความเข้าใจลูกน้อย รวมถึงวิธีการทำอย่างไรให้เราเป็นเพื่อนซี้ทางใจของลูกน้อยค่ะ
เป็นผู้รับฟังและที่ปรึกษาที่ดี
อย่างแรกเลยค่ะถ้าเราอยากให้ลูกเชื่อใจ เราควรเริ่มจากการเป็นผู้ฟังที่ดี ตั้งใจฟังลูกโดยไม่ใช้อารมณ์ของเราในการตัดสิน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ปล่อยให้ลูกเล่าเรื่องนั้นให้จบก่อน แล้วค่อยถามหรือให้คำแนะนำ คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยมีสติและควบคุมอารมณ์ให้ดี หรือถ้าเห็นลูกของเรามีท่าทีไม่โอเค เราควรถามความสมัครใจของเขาก่อนว่าพร้อมที่จะเล่าไหม ไม่ควรกดดันจนเกินไป ถ้าลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้กดดัน เขาจะกล้าเล่ามากขึ้นค่ะ และที่สำคัญยิ่งถ้าเราตั้งใจฟัง จะทำให้ลูกรู้สึกได้รับการใส่ใจจากคุณพ่อคุณแม่ ที่สำคัญเมื่อเราให้คำปรึกษาแก่ลูก ไม่ควรเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งนะคะ และไม่ด่วนตัดสินสิ่งที่เด็ก ๆ กำลังเล่าอยู่ เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ลูกกล้าพูดคุยกับเรามากขึ้นและทำให้เราเข้าใจลูกได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ให้อิสระทางความคิดกับลูก ไม่เลี้ยงลูกเป็นหุ่นเชิด
เรามักเห็นกันบ่อยๆ ว่าคุณพ่อคุณแม่บางคนเลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกเป็นในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ ต้องฟังคำสั่งจากเราเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมให้ลูกได้ใช้ความคิดหรือแสดงความคิดเห็น และมักจะเอาความคิดของตัวเองอยู่เหนือความคิดของลูกอยู่เสมอใช่ไหมละคะ เราอาจจะคิดแทนเพราะความหวังดี แต่นั่นเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำอย่างยิ่งเลยค่ะ เราควรจะถามว่าเขาต้องการอะไร ชอบแบบนี้จริงๆ หรือไม่ หรือให้เขาได้แสดงความคิดเห็นของเขาบ้าง ให้เขาได้ลองพิจารณาในสิ่งต่างๆ เมื่อเราให้อิสระกับความคิดของลูก ลูกก็รู้สึกอิสระและอยากสนิทกับคุณพ่อคุณแม่อย่างแน่นอนค่า
เข้าใจลูกน้อยด้วยการคิดแบบเขา
พอเราเป็นวัยผู้ใหญ่ มีอายุมากขึ้นผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากมาย เราก็อาจจะหลงลืมความสนุก ความคึกคะนอง หรือความคิดแบบเด็กๆ ที่เราอาจจะเคยทำกันใช่ไหมละคะ ดังนั้นการที่เด็กน้อยอาจจะทำในสิ่งที่เราก็เคยทำ ที่ไม่ใช่เรื่องผิด หากสิ่งเหล่านั้นยังคงปลอดภัยและยังอยู่ในกรอบที่พอดี เราก็ไม่จำเป็นจะต้องปฏิเสธหรือห้ามเขาในทุกเรื่องค่ะ เช่น การออกไปเล่นที่สนามหญ้า อาจจะเลอะบ้าง สกปรกบ้าง แต่มันเป็นการเรียนรู้ที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร เพราะหากเราถูกห้ามในวัยเด็ก เราก็คงจะผิดหวังไม่ต่างกัน ลูกเราก็เช่นกันค่ะ และที่สำคัญโลกเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อย่างเราก็ต้องตามยุคสมัยให้ทันนะคะ อย่ายึดติดอะไรเดิมๆ จนเกินไป เพื่อให้เราเข้าใจลูกและสามารถเติบโตไปด้วยกันได้ค่ะ
หากิจกรรมเพื่อใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
การได้ใช้เวลาร่วมกับลูกเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเลี้ยงลูกให้เติบโตมาเป็นคนที่ดี แต่คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่าน เป็นนักธุรกิจ มีงานประจำ มีเวลาอยู่กับลูกไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดช่องว่างได้ ซึ่งช่องว่างนี้จะนำมาซึ่งความไม่เข้าใจกัน ดังนั้นการหาเวลาเล็กๆ น้อยๆ กับลูก ไม่ว่าจะเป็นการทานข้าวพร้อมกันก่อนไปโรงเรียน หรืออาจะเป็นการใช้เวลาช่วงก่อนนอนในการอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง รวมถึงการหากิจกรรมหรือสถานที่เที่ยวสำหรับวันหยุดสุดสัปดาห์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้เรากับลูกได้ใช้เวลาพูดคุยกันมากขึ้นแล้วค่ะ และยิ่งเรามีเวลาร่วมกันกับลูกมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเข้าใจลูกมากขึ้นค่ะ ว่าเขาต้องการอะไร ชอบแบบไหน แถมยังพูดคุยกันได้ทุกเรื่องอีกด้วยนะคะ
เชื่อเลยค่ะว่ายังไงลูกๆ เขาก็อยากสนิทกับคุณพ่อคุณแม่ ต้องการให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจเขามากที่สุดอยู่แล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดจะทดแทนความอบอุ่นในครอบครัวได้ ดังนั้นอย่าลืมที่จะหาเวลาใส่ใจให้กับลูกน้อยของเรากันเยอะๆ นะคะ เพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นคนที่ดีต่อสังคมค่ะ และในครั้งต่อไป AsmartBrain จะมาแบ่งปันเคล็ดลับอะไร ก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ เราจะเป็นเพื่อนคู่คิดในการเลี้ยงลูกๆ ให้เป็นเด็กที่โตมาด้วยความใส่ใจจากคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยกันค่ะ
มากกว่า'ของเล่น' คือเห็นคุณได้เล่นกับลูก
วันนี้คุณเล่นกับลูกแล้วหรือยัง?
-AsmartBrain -
コメント